2023-08-25

2023-08-25 18:00:38 game

รีวิว Atlas Fallen แบบจริงจัง

มีโอกาสได้ลองเล่น Atlas Fallen มาซักพัก โดยเราเล่นบนเครื่อง PS5 เลยจะลองมารีวิวดูบ้าง ได้ยินว่าผลงานของค่ายนี้ Deck13 Interactive มักจะทำเป็น Souls-like แต่สำหรับ Atlas Fallen เป็นเกมแนว Action RPG มมุมอง Third-person ที่ตอนแรกก็สบายใจละ ว่าเป็น Action เพราะตัวเองไม่ถนัด Souls-like เลย แต่พอได้ลองเล่นก็ยังไม่ทิ้งลายความกากเกม ก็ยังยากสำหรับตัวเองอยู่ดี แง Cry จริงๆ ถ้าจับจังหวะได้ก็คงเล่นได้แหละ ตัวเกมสามารถปรับความยากได้ 3 โหมด Unnamed's Story จะเป็นโหมดง่าย Gaunlet Bearer โหมดธรรมดา และ Thelos's Scourge โหมดยาก ส่วนตัวเล่น Gaunlet Bearer ก็ถือว่ายากแล้ว 555 แต่จะลองมารีวิวดูซักหน่อยละกันจ้า

เนื้อเรื่อง

สำหรับเรื่องย่อของเกมนี้ เกิดขึ้นในโลกจินตนาการ โดยเริ่มเรื่องมาก็เป็นฉากของสงครามระหว่างเทพที่แตกคอกันเกี่ยวกับความเห็นในเรื่องของการใช้ Essence ของมนุษย์ ซึ่งมีอยู่เทพหนึ่งโดนกักขังและเราก็จะเล่นเป็นเทพองค์นี้ที่มาในร่างสีฟ้าในตอนต้นเรื่องอยู่แปบนึง เพื่อที่จะหลบหนีจากการถูกกักขัง จนกระทั่งฉากก็จะตัดมาที่การสร้างตัวละคร ซึ่งนั่นจะเป็นตัวที่เราใช้เล่นจริงๆ ในเนื้อเรื่องต่อไป ส่วนตัวเรานั้นจะได้รับบทเป็น นักแรงงานที่ไร้ชื่อ อยู่ในกองคาราวานที่เป็นเหมือนชนชั้นล่างของโลกนี้ ทำหน้าที่ขุด Essence และรับใช้เทพ Thelos และ Queen ที่ชนะสงครามเมื่อตอนต้นเรื่อง ตัวเอก ได้รับหน้าที่จากอัศวินในกองคาราวานให้เราไปตามจับขโมยให้หน่อย ระหว่างที่ออกเดินทางไปตามจับขโมย เราก็ได้ยินเสียงปริศนาเรียก และพอตามเสียงนั้นเรื่อยๆ ก็จะได้พบกับ Gaunlet ถุงมือเวทมนต์ ที่มารู้ในภายหลังว่าเป็นพลังของ Nyaal เทพร่างสีฟ้าที่เราได้เล่นเมื่อตอนต้นเรื่องนั่นเอง

โลกนี้จะเต็มไปด้วยพื้นที่ของทะเลทรายเป็นส่วนใหญ่ เต็มไปด้วยซากปรักหักพังจากสงคราม ตัวเอกได้ออกเดินทางไปพร้อมๆ กับ Nyaal และสามารถใช้พลังจาก Gaunlet ในการเดินทาง โดยเนื้อเรื่องก็จะเป็นการเดินทางเพื่อตามหาชิ้นส่วนของ Gaunlet ตามหาความทรงจำของ Nyaal ในการช่วยเหลือมนุษย์เพื่อต่อสู้เรียกร้องอิสรภาพจากเทพ Thelos และ Queen ที่คอยกดขี่มนุษย์อยู่

ส่วนตัวเป็นคนที่ชอบเล่นเกมที่เน้นเนื้อเรื่อง เพราะรู้สึกว่าถ้าอินกับเนื้อเรื่องแล้วมันก็ทำให้เกมสนุกตามไปด้วย เพราะเราจะอยากรู้ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นต่อไป แต่สำหรับเกมนี้ถ้าดูเรื่องย่อแล้วก็ถือว่าค่อนข้างน่าสนใจ แต่ตัวเกมมีฉาก cut-scenes ค่อนข้างน้อย ทำให้การเล่าเรื่องนั้นเล่าผ่านเกมเพลย์ เล่าผ่านบทพูดตัวละคร ผ่านไอเท็มที่เก็บ ทำให้บางทีอาจจะไม่ได้โฟกัสที่เนื้อเรื่องมาก เพราะอาจจะทำอะไรอย่างอื่นไปด้วย ก็เลยมองว่าอินกับเนื้อเรื่องหลักได้ยาก แต่สำหรับบางคนอาจจะชอบก็ได้นะเกมที่มี Cut-scenes น้อยๆ ตัวละครไม่ต้องพูดเยอะ พูดผ่านเกมเพลย์ไปเลยอะไรแบบนี้

เกมเพลย์

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าเป็นแนว Action RPG ก็ค่อนข้างจะ Action จริงๆ มีอาวุธให้เราเลือก 3 ชิ้น โดยใช้ติดตัวได้ 2 ชิ้น เป็นอาวุธหนักกับอาวุธเบา พลังที่ใช้ในการต่อสู้ก็จะมาจาก Gaunlet ที่เราไปเจอมาในตอนต้นเกม ระบบการต่อสู้ของเกมนี้มีสิ่งที่เรียกว่า Momentum เป็นระบบสะสมค่า Ascending ที่ยิ่งสูงขึ้นขนาดและพลังทำลายของอาวุธจะมากขึ้น และท่วงท่าการโจมตีจะเปลี่ยนไปตาม Essence Stones ที่เราติดตั้ง ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 Tiers เมื่อสามารถสะสม Ascending สูงขึ้น ก็จะสามารถใช้สกิลได้ทั้งหมดของ Essence stones ที่เราติดตั้ง และการทำดาเมจก็จะแรงมากๆ และแน่นอนว่ามอนก็จะตีเรากลับแรงด้วยเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ค่าพลังในแต่ละ Tiers ก็จะหายวับไปด้วย ถ้าหากเราถูกมอนโจมตี สำหรับการฮีล จะมีการติดตั้ง Idol ภายใน Gaunlet ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการตีมอนเหมือนกัน ยิ่งตีมอน เกจพลัง Idol ก็ยิ่งขึ้นตาม ก็จะทำให้เราสามารถฮีลได้

* มอนในเกมนี้เรียกว่า Wraith

ด้วยความที่เป็นระบบแปลกใหม่ ก็เลยไม่คุ้นชิน ส่วนตัวแล้วก็รู้สึกว่าเล่นยากอยู่หน่อยๆ แล้วก็ตุยบ่อยๆ ด้วย แต่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องสนุกของคนอื่นๆ ได้อยู่นะ เพราะยิ่งตียิ่งมัน ยิ่งคอมโบยิ่งตีแรงขึ้น อีกอย่างที่เกมทำมาให้เล่นได้ง่ายขึ้น (แต่ก็ยังยากอยู่ดีสำหรับเรา) คือ Sandskin เป็นสกิลที่ทำให้เราสามารแช่แข็งศัตรูได้หลังจากที่ parry ได้ถูกจังหวะ แล้วเราก็ซัดมอนได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่ปัญหาก็คือจับจังหวะไม่ได้ซักที แถมมีการโจมตีแบบที่ parry ได้ และ parry ไม่ได้ที่ต้องแยกด้วยสีของการโจมตี บางทีก็ดูไม่ทัน มือไม้ลนไปหมด แต่ถ้าใครเล่นเก่งๆ คิดว่าคงทำให้เกมสนุกขึ้นเยอะ

การต่อสู้ เป็นการต่อสู้ที่ต้องคอยจับจังหวะหนี จังหวะหลบ ถ้าพวกมอนใหญ่ เราต้องตีตามละส่วนของร่างกายมอนให้แตกทีละส่วน พอมอนมันตัวใหญ่ เกมก็เลยให้เรามีความสามารถที่ได้จาก Gaunlet ในการกระโดดได้สูง 2 ขั้น และสามารถสไลด์ตัวบนอากาศได้ เพื่อให้สามารถจับจังหวะตีมอน หรือหลบหลีก ตัวสูงใหญ่กว่า หรือบินได้ (และเอาไว้ผจญภัย กระโดดข้ามผาต่างๆ ด้วย)

ตัวเกมเป็นแบบ Semi-Openworld จะแบ่งแผนที่ไปตามโซนที่เราได้เล่นไปตามเนื้อเรื่อง ซึ่งสามารถวาร์ปไปมาผ่านแทนที่เรียกว่า Anvil ที่มีอยู่กระจัดกระจายตามที่ต่างๆ ซึ่งถ้าเราไปใกล้ๆ ไอ้แท่นนี้แล้ว Nyaal ก็จะคอยสะกิดบอกเราว่า แถวนี้เหมือนจะมี Anvil นะ แล้วเราก็ต้องหยุดเพื่อตามหาว่ามันอยู่ไหนวะ 555 และในแต่ละ map ก็มี puzzle เล็กๆ น้อยๆ ให้เล่นอยู่บ้าง

กราฟฟิก และ ดีไซน์

ด้วยความที่ปรับตอนเล่นเป็นแบบ Performance ก็เลยอาจจะได้ภาพกราฟฟิกที่ไม่เต็มที่นัก แต่โดยรวมแล้วภาพฉากต่างๆ ก็ดูสวยดี ด้วยความที่เป็นโลกหลังสงครามเทพ ทำให้บ้านเมืองมีซากปรักหักพังมากมาย และรายล้อมไปด้วยทะเลทราย แต่ก็ยังมีบางจุดที่เป็นป่า มีต้นไม้เขียวชะอุ่ม ก็ทำให้ฉากดูมีสีสันที่สดใสดี การออกแบบตัวละครยังดูไม่น่าดึงดูดมากนัก ตอนเล่นไม่ได้รู้สึกอินอะไรไปกับตัวละคร NPC แต่ละตัวก็ยังไม่ดึงดูดเท่าไหร่ ซึ่งอันนี้ใช้ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ เลยค่ะ ด้วยความที่ไม่ได้อินกับความชุดเกราะหนาๆ แล้วเราเลือกตัวผู้หญิงเล่น แต่ชุดเกราะคือหนาและแมนมาก แต่ถ้าใครชอบตรงนี้ก็อาจจะอินได้อยู่มั้ง แต่ชอบอยู่อย่างที่ตัวละครที่เราสร้าง สามารถพูดแบบมีเสียงได้ด้วย

ส่วนที่ชอบเป็นพิเศษก็คือ Photo mode ที่ให้ท่าทาง และอารมณ์ของหน้าตามาเยอะดี และยังปรับได้หลายโหมด ทำให้การเล่นเกมก็เสียเวลาไปกับการถ่ายภาพไปก็เยอะอยู่ Smile

รีวิวนี้เขียนจากประสบการณ์การเล่นของตัวเอง บวกกับความสามารถแบบกากเกม หากไม่ตรงใจใครก็ต้องขออภัยมา ณ ทีนี้นะคะ หรือถ้าใครมีความคิดเห็นเพิ่มเติมอย่างไร สามารถคอมเม้นต์พูดคุยกันได้ค่า

ปิดท้ายด้วยคลิป "ผมฉันหายไปไหน"

Atlas Fallen ตอนนี้ลงให้กับ PlayStation 5, Xbox Series X, และ Series S ใครสนใจก็ไปสามารถหาซื้อมาเล่นกันได้จ้า

Get In Touch

Bangkok, Thailand

info@gamgon.com

Social Media
Hilight Photo

© GAMGON GAGGAME. All Rights Reserved. Design by HTML Codex